กำเนิดภารกิจตามรอยอูคูเลเล่ที่ฮาวาย ภาค 1

กำเนิดภารกิจตามรอยอูคูเลเล่ที่ฮาวาย ภาค 1

เมื่อราว 11 ปีก่อน ผมมีความใฝ่รู้ในเรื่องอูคูเลเล่อย่างแรงกล้า (ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้ต่างจากตอนนี้นักครับ) และเริ่มรู้สึกว่าถ้าหากจะเข้าถึงแก่นของอูคูเลเล่ เราต้องไปเหยียบแผ่นดินกำเนิดของมัน สูดหายใจอากาศฮาวาย จูบหาดทรายไวกิกิ และพบเจอผู้สร้างอูคูเลเล่ในตำนาน แล้วผมคงจะเข้าใกล้อูคูเลเล่มากขึ้น ผมไม่ได้อยากจะเล่นเก่งกาจอะไร แต่อยากจะเข้าใจเครื่องดนตรีนี้อย่างถึงทรวงใน มันคงคล้ายกับคนเคร่งศาสนา ที่ไม่จำเป็นต้องไปบวช แต่ต้องไปให้ถึงแหล่งกำเนิด ผมก็เช่นกันแต่สิ่งที่ผมเคร่งคืออูคูเลเล่ และที่จะเล่าต่อไปนี้คือเรื่องราวจากการเดินทางไปฮาวายเพื่ออูคูเลเล่ครั้งแรกของผม ที่ทำให้ผมได้กลับไปอีกกว่า 30 ครั้งหลังจากนั้น  และเป็นอะไรที่ไม่เคยเล่าให้ใครทราบมาก่อนในรายละเอียดแบบนี้ครับ

เมื่อตั้งใจจะไปฮาวายทั้งที ผมรอไปให้คุ้มค่ากับครั้งแรก ต้องไปช่วง Ukulele Festival Hawaii จะได้ซึบซับกันให้เต็มๆ อัตรา และเมื่อเวลามาถึง ผมก็ขึ้นเครื่องบินไปฮาวายคนเดียว สำหรับทริปแรกนี้ ผมไปแค่ไม่กี่วัน แต่นับเป็นความทรงจำที่ดี ที่ต้อยอดให้ผมเป็นคนบ้าอูคูเลเล่อย่างที่เป็นในวันนี้ มาดูกันครับว่า ผมไปฮาวายครั้งแรก (จริงๆ เด็กๆ เคยไปไปมาก่อนแล้ว แต่อย่านับดีกว่า) เป็นอย่างไร

ฮาวาย สนามบิน

เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองร่างยักษ์ถามผมว่ามาทำอะไรที่ฮาวาย ผมบอกทันทีว่ามา Ukulele Festival เขายิ้มแล้วชื่นชม Roy Sakuma ผู้จัด และปั๊มตราให้ผมเข้าอเมริกาอย่างรวดเร็ว หลังจากรับกระเป๋าผ่านศุลกากร ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินออกมาจากอาคารสนามบิน ผมก็รับรู้ถึงอากาศบริสุทธิ์ แม้จะเจือด้วยกลิ่นน้ำมันรถที่วิ่งไปมาเบื้องหน้าอยู่บ้าง เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปก็พบกับภาพนี้ที่ผมถ่ายไว้ครับ เป็นท้องฟ้าที่สดใส ปุยเมฆเคลื่อนที่เร็วตามกระแสลม และต้นมะพร้าวสูงเสียดฟ้า ให้อารมณ์ต้อนรับสู่ฮาวายจริงๆ ครับ



หลังจากรับรถขับออกมาจากสนามบินแล้ว จุดหมายแรกที่ผมตั้งใจจะไปตั้งอยู่บนถนน South Street ซึ่งในภาพก็คือถนนดังกล่าวในขณะที่ผมกำลังขับรถไปด้วยความตื่นเต้น 

Kamaka โรงงานอูคูเลเล่

บนถนนเส้นนี้ ณ บ้านเลขที่ 550 South Street เป็นที่ตั้งของโรงงาน Kamaka ผู้สร้างอูคูเลเล่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังมีตัวตนอยู่ และเป็นมรดกของฮาวายด้วย เมื่อมาถึงฮาวาย ผมขอมาที่นี่ก่อนที่ไหน ขอมาเห็นโรงงาน Kamaka กับตา แม้ไม่ได้เข้าก็เถอะ ใช่ครับ ผมยังไม่ได้เข้าไป เพราะทัวร์โรงงานต้องมาตามเวลาที่เขากำหนด ซึ่งผมแพลนไว้แล้ว แต่สำหรับห้วงแรกที่มาเหยียบฮาวาย ผมต้องมาสูดลมหายใจที่นี่ก่อน ภาพที่เห็นคือภาพที่ผมถ่ายไว้เมื่อครั้งนั้น ขณะค่อยๆ ขับรถผ่านสถานที่ในฝันของผม

Kalakau'a ave

จากนั้นผมมุ่งหน้าสู่ที่พัก ซึ่งสำหรับมือใหม่ การอยู่แถวๆ หาดไวกิกิสะดวกสุด เพราะอะไรๆ ก็อยู่แถวนั้น และ Ukulele Festival ก็จัดที่สวนสาธารณะใกล้ๆ กัน บรรยากาศของถนน Kalakau'a คนฮาวายอ่านประมาณว่า คาลาเคาอะ ทอดยาวเลียบโรงแรม ร้านค้า ริมหาดไวกิกิไปจรดสวนสาธารณะ Queen Kapiolani ร่มรื่นมากด้วยต้นไม้ใหญ่ ที่ผลิดอกสวยงาม สลับบกับต้นมะพร่าวสูงไปตลอดทาง

Waikiki

เมื่อนำรถไปจอดและเช็คอินที่พักเสร็จ ผมออกเดินสำรวจย่านไวกิกิทันที อากาศเย็นสบายกำลังดี แดดจ้า ฟ้าใส ผู้คนเดินไปมา บางคนมาเล่นเวิร์ฟ บางคนมาอาบแดด นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเดินเต็มไปหมด ทุกคนไม่หลุดธีม แต่งตัวสไตล์ฮาวายกันหมด 

Kalakau'a Ave, Waikiki

ถนน Kalakau'a นี้ ตั้งตามชื่อพระราชาคาลาเคาอะ ผู้ทำให้อูคูเลเล่กลายเป็นเครื่องดนตรีประจำชาติของฮาวาย และเป็นพระราชาองค์สุดท้ายของฮาวายเช่นกัน ว่ากันว่าท่านเป็นคนรักสนุกชอบรื่นเริงมากๆ จนท่านได้สมยานามว่าเป็น Merry monarch (คิงที่ร่าเริง) ของฮาวายไป 



ต้นไทรขนาดใหญ่เป็นเรื่องปกติของที่นี่ และไม่มีใครมาบุชาสิ่งศักดิสิทธิอะไร แต่จะมีเด็กๆ พากันมาปีนโหนเถาวัลย์เล่นบ้าง มาทำเป็นชิงช้าบ้าง หรือบางทีก็เป็นที่พักพิงของคนไร้บ้านด้วย ผมเคยคุยกับเพื่อนฮาวาย เขาบอกว่าจุดหมายของคนไร้บ้านที่อเมริกาแผ่นดินใหญ่คือฮาวาย เพราะอากาศดีตลอดปี ไม่ต้องผจญความหนาวเหน็บในฤดูหนาว ฉะนั้นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของฮาวายคือ ที่นี่มีคนไร้บ้านเยอะมาก ซึ่งหลายคนก็มีงานทำ แต่แค่ไม่มีบ้าน อาศัยใช้ห้องน้ำสาธารณะ หรือจุดอาบน้ำนักท่องเที่ยวแทน แต่เขาจะอยู่เป็นแหล่งๆ ไป เนื่องจากมีการจัดสรรให้ไม่คลาคล่ำจุดท่องเที่ยวจนเกินไป

 waikiki

ผมเดินเลียบหากไวกิกิไป เอาเท้าสัมผัสทรายและน้ำเย็นเจี๊ยบของมหาสมุทรแปซิฟิก พบว่าน้ำเขาเย็นมากๆ ระดับน้ำใส่น้ำแข็ง แม้แดดจะแรง แต่น้ำเย็นสุดขั้วเมื่อเทียบกับน้ำทะเลบ้านเรา ใครไม่ชินลงไปจะหนาวสั่น ส่วนคลื่นนั้นแรงกว่าบ้านเราเยอะ และน้ำทะเลที่นี่แม้หาดในเมืองก็ใสระดับเกาะสวยๆ บ้านเราเลยทีเดียวครับ 

waikiki

จุดหมายหลักของผมไม่ใช่จะมาชมสาวบิกินี่หรือชมวิว แต่กลิ่นโ,ชั่นอาบแดดและเสียงคลื่นก็พาผมเป๋ไปได้สักพัก นึกขึ้นได้เลยรีบไปทำสิ่งที่ต้องทำ นั่นคือหา Kamaka ของผมเองสักตัว ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเคยซื้อ Kamaka มือสองมาแล้วตัวนึง แต่มันไม่ใช่โฉมปัจจุบัน เลยคิดว่ามาฮาวายต้องถือกลับบ้านสักตัว และผมทราบมาอีกว่าที่ Kamaka เขาไม่ขายอูคูเลเล่ที่โรงงาน และถึงมาหาตามร้านข้างนอกก็ใช่ว่าจะมีขาย เพราะของมีน้อยตลอดเวลา มาก็หมดครับ



การตกแต่งร้านรวงด้วยธีมอูคูเลเล่หรือสาวฮูล่า สำหรับคนที่นี่คงชาชินจนเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับคนที่เพิ่งมาเยือนแบบผม มองไปทางไหนก็เจอธีมฮาวาย เป็นความรู้สึกที่ตื่นตาตื่นใจมากๆ ซึ่งเมื่อภายหลังผมมาบ่อยมาก และได้สัมผัสธีมฮาวายเวอร์ชั่นต่างๆ ก็ยังรู้สึกชอบ แต่เจ้าความรู้สึกอเมซิ่งแบบครั้งแรกมันหายไป กลายเป็นความอบอุ่นในหัวใจแทน



ร้านขายของที่ระลึกข้างทางที่เดินผ่าน มีอูคูเลเล่ขายด้วย ราคาเพียง 8.99 เหรียญ มันเหมือนกับอูคูเลเล่ที่มีพ่อค้าหัวใสเอาไปขายที่ไทยราคาเป็นพันๆ ตามกระแสในตอนนั้น ผมหยิบมาเล่น พบว่ามันไม่ใช่เครื่องดนตรี มันแค่มีสี่สาย เอาไว้แขวนตกแต่ง หรือเป็นถ้วยรางวัลที่นำกลับบ้านแล้วบอกคนว่าได้มาจากฮาวาย (แต่พออ่านฉลากจะเห็นว่าเมดอินไชน่า)



ที่ International Market Place ปกคลุมไปด้วยต้นไทนใหญ่ยักษ์ ผมเดินวนหาอูคูเลเล่ละแวกนี้ เจอแต่ของที่ระลึก ไม่มีอูคูเลเล่ดีๆ สักตัว (ปัจจุบันตรงนี้กลายเป็นห้างใหญ่ แต่ต้นไม่ยังอยู่ครบ เพราะเขาสร้างอาคารคร่อมต้นไม้ไปเลย)



ต้นไม้ใหญ่มีอยู่ทุกพื้นที่ ในภาพคือขณะผมเดินไปยัง Royal Hawaiian Shopping Center ริมหาดไวกิกิ



คนแถวนั้นแนะนำให้ผมมาร้านอูคูเลเล่ที่นี่ แต่ผมหิวเลยแวะทานอาหารที่ฟู๊ดคอร์ด ซึ่งมีพี่ผู้หญิงชาวฮาวายเล่นอูคูเลเล่เพลงฮาวายขับกล่อม เคล้าเต้นฮูล่าอยู่พอดี เป็นอาหารมื้อแรกที่ฮาวายที่แม้ไม่ได้หรูหราอะไร แต่มันฟินแล้วสำหรับผม



ในที่สุดผมก็เดินมาจนถึงร้าน Bob's Ukulele ร้านอูคูเลเล่ที่ผมมาแค่ครั้งนี่ครั้งเดียว แล้วไม่ได้กลับมาอุดหนุนหรือรู้จักมักจี่เขาอีกเลย ร้านนี้อยู่ในย่านนักท่องเที่ยว ของเยอะและมี Kamaka HF-1 ที่ผมตามหาด้วย



ผมได้ Kamaka ที่ตามหาสมใจ ตอนนั้นซื้อมาราคาเพียง 600 กว่าเหรียญเท่านั้นเอง (สิบปีผ่านไปราคาของใหม่ขึ้นมาราว 1 เท่าตัว) นี่คือร้านแรกที่ผมมาเยือน ร้านสวยแต่ผมรู้สึกเหมือนว่าที่นี่เป็นร้านสำหรับนักท่องเที่ยวเสียมากกว่า คนขายขายแล้วจะไม่ต้องมาพบกันอีก ผมเลยไม่ได้กลับมาซื้อเขาอีกจนปัจจุบัน



Kamaka HF-1 ปี 2010 ของผม ตอนนั้น Kamaka ยังไม่มีฮาร์ดเคสของตัวเอง แต่จะใช้ Coconut Case ให้มาด้วย ที่ฝากล่องจะเป็นรูปลูกมะพร้าว สำหรับอูคูเลเล่ตัวนี้ ผมพาไปหลายแห่งในโลก และเอาให้ศิลปินชั้นนำเซ็นต์เต็มไปหมดทั้งตัว แต่เมื่อ 2-3 ปีก่อน มีชาวญี่ปุ่นอยากได้ Kamaka ผมเลยขายตัวนี้ให้ไปทั้งๆ ที่มีลายเซ็นต์ที่กว่าจะรวบรวมได้ น่าจะใช้ค่าเดินทางเป็นล้าน ไม่รู้เจ้าของใหม่จะทราบไหมว่าได้สิ่งที่น่าจะมีตัวเดียวในโลกไปในราคาปกติ



พระอาทิตย์จวนจะตก ผมเดินกลับที่พัก เพื่อเอา Kamaka ไปเก็บ ก็พบว่าเดี๋ยวเขาจะมีการแสดงเพลงฮาวายริมหาดไวกิกิ เลยเดินกลับไปหาที่นั่งรอชม



ที่นั่งค่อนข้างเต็ม ผมเลยเลือกไปนั่งฟังข้างหลังศิลปินแทน ผมว่าดีกว่าอีก เพราะเห็นวิวทะเลไปพร้อมๆ กับเสียงเพลงฮาวาย บนหาดไวกิกิ เคล้าสายลมเย็นๆ อากาศสบายๆ และฟรีด้วย ไม่มีอะไรจะฟินได้กว่านี้แล้วสำหรับผม 

puapua ukulele shop

หลังจากดื่มด่ำกับวิวและเสียงเพลงฮาวาย ผมเดินกลับโรงแรมก็มาพบกับป้ายชวนมาเรียนอูคูเลเล่ฟรี ผมเลยเดินตามป้ายเข้าไปในโรมแรมแห่งหนึ่ง และพบกับร้าน Puapua เข้าให้ ร้านนี้ไม่ได้แต่งหรูหราแบบร้านที่แล้ว แต่เพียงเดินเข้าไปผมก็รับรู้ได้ถึงจิตวิญญาณอูคูเลเล่ เพราะ Ken เจ้าของร้านผมยาวรวบไว้ แต่ตัวเหมือนคนเล่นเซิร์ฟ ต้อนรับอย่างดี เราพูดคุยกันสักพักใหญ่ ผมเล่าให้เขาฟังว่าผมมาจากไหน ทำอะไร Ken รับฟังอย่างสนใจ ตอบคำถามที่ผมมี และยินดีจะให้ความช่วยเหลือทุกอย่างเกี่ยวกับอูคูเลเล่ 



ร้าน Puapua เป็นร้านที่ผมประทับใจ น่าจะเพราะเขาเอาความเอาใจใส่แบบญี่ปุ่นมาปรับใช้ที่ฮาวาย จากการที่ Ken เป็นคนญี่ปุ่นผู้หลงไหลฮาวายและย้านมาทำร้านอูคูเลเล่ที่นี่ การสอนฟรี "โคตรบีกินเนอร์" ที่ผมให้ใครที่สนใจมาเรียนก็ได้ ก็มาจากที่นี่นี่เอง แถมที่นี่ยังเป็นร้านที่สร้างคนสำคัญในแวดวงอูคูเลเล่ของฮาวายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของ Ukulele Store, Ukulele Lab, Shima Ukulele, Mailele Ukulele และอีกมากมาย นี่สิคนอูคูเลเล่ที่ผมตามหา แล้วผมก็เจอตั้งแต่วันแรกจนได้



หลังจากคุยกับ Ken จนเต็มที่ ผมขอตัวออกมาก่อน แล้วจะกลับมาอีกที เพราะผมสนใจอูคูเลเล่เขาหลายตัว ผมเดินออกมาพบว่าถนน Kalakau'a ยามค่ำคืนเต็มไปด้วย street performers มีคนมุงดูเป็นหย่อมๆ ตลอดทาง หนึ่งในนั้นคือสุดยอดมืออูคูเลเล่ Troy Fernandez ผู้มีดีกรีถึงเจ้าของรางวัล Nahoku Awards ซึ่งเปรียบเสมือนแกรมมี่อวอร์ดของฮาวาย มาเล่นให้ดูกันแบบเผาขน ชนิดน้ำลายกระเด็นใส่กันได้เลย ผมยืนดูอย่างน่าทึง ขณะเดียวกันก็มีหนุ่มญี่ปุ่นหัวฟูคนหนึ่งกำลังยืนดูอยู่เช่นกัน ท่าทางเหมือนอยากแจมด้วย มาทราบทีหลังว่าหนุ่มหัวฟูคนนั้นคือ Kyas Ryo ที่ต่อมากลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งของผมในโลกอูคูเลเล่ไป 

นี่คือวันแรกของผมในการกลับมาฮาวายครั้งแรกครับ รายละเอียดปลีกย่อยมีอีกบ้างเล็กน้อย แต่เอาประมาณนี้กำลังสนุกครับ ถ้าคุณชอบ โปรดติดตามตอนต่อไป ว่าวันต่อมาผมจะทำอะไรครับ

ด่อง คนบ้าอูคูเลเล่


Back to blog